“บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์” สุภาพบุรุษยอดนักสู้สายพันธุ์อินทรีเหล็ก

ทุกการเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุดเสมอเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม โดยเฉพาะอาชีพนักฟุตบอลที่ต้องใช้พละกำลังจากร่างกายอย่างหนักเพื่อลงทำการแข่งขันตลอด 90 นาที และเมื่อสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยต่อการลงสนามอีกต่อไป พวกเขาก็จำต้องโบกมืออำลาสนามและแฟนบอลไปในที่สุด และคราวนี้ก็เป็นคิวของ “บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์” สุภาพบุรุษยอดนักสู้ ผู้พาทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 ได้สำเร็จบนดินแดนแซมบ้า นับเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ของทีมอินทรีเหล็กอีกด้วย

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์เป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จอย่างมากตลอดอาชีพค้าแข้งเกือบ 20 ปี เขาก้าวจากทีมเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ของบาเยิร์น มิวนิค เมื่อปี 2002 จนกลายมาเป็นนักเตะกำลังสำคัญของทีมเสื้อใต้และช่วยให้ต้นสังกัดสร้างประวัติศาสตร์ครองทริปเปิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในปี 2013 นอกจากนั้นยังคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 8 สมัย และแชมป์เดเอฟเบ-โพคาลอีก 7 สมัย สังหารประตูคู่แข่งไปถึง 68 ประตู จากการลงสนามทั้งสิ้น 500 นัด ก่อนจะย้ายสู่เกาะอังกฤษร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 2015 เพื่อร่วมงานกับอดีตเจ้านายเก่าอย่างหลุยส์ ฟาน กัล

ภายใต้การบัญชาการของเทรนเนอร์ชาวเนเธอร์แลนด์ ชไวน์สไตเกอร์มีส่วนร่วมกับทีมในทุกรายการถึง 31 นัด แบ่งเป็นตัวจริง 21 นัด และตัวสำรองอีก 10 นัด โดยสามารถทำประตูได้ 1 ประตู ในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ ก่อนจะเพิ่มรายการแชมป์อีกรางวัลกับแชมป์เอฟเอคัพเมื่อสิ้นฤดูกาลแรก แต่เมื่อฤดูกาลใหม่เริ่มขึ้นพร้อมกับการอำลาทีมไปของฟาน กัล มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมันก็ต้องประสบปัญหาในการลงสนามอย่างหนัก เมื่อไม่เป็นที่ชื่นชอบของกุนซือคนใหม่อย่างโชเซ่ มูรินโญ่ ถึงขนาดถูกส่งลงไปซ้อมกับทีมสำรอง ซึ่งนับเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างยิ่งสำหรับนักฟุตบอลที่ผ่านความสำเร็จมามากมาย แต่ชไวน์สไตเกอร์กลับไม่มีปากเสียงใด ๆ และยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจผู้เป็นเจ้านายให้ได้ จนกระทั่งถูกเรียกกลับทีมชุดใหญ่ในที่สุด มูรินโญ่เลือกใช้งานกองกลางอินทรีเหล็กในเกมฟุตบอลถ้วยซึ่งถูกส่งลงสนามไป 4 นัด โดยในศึกเอฟเอคัพ รอบ 4 กับวีแกน แอธเลติก บาสตี้ทำได้ 1 ประตู และได้รับการเลือกจากแฟนบอลให้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ แต่ก่อนที่ฤดูกาลที่สองในถิ่นปีศาจแดงจะจบลง เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมชิคาโก้ ไฟเออร์ ในลีกอเมริกา ตลอดระยะเวลา 3 ปีในแดนลุงแซม ชไวน์สไตเกอร์กลับมาลงสนามอย่างมีความสุขอีกครั้ง โดยลงสนามไปถึง 92 นัด กับอีก 8 ประตู ก่อนจะจัดสินใจแขวนสตั๊ดในที่สุด

ชไวน์สไตเกอร์ได้รับการยอมรับนับถืออย่างมากจากเพื่อนร่วมอาชีพ ไม่เพียงเพราะเรื่องฝีเท้าและจำนวนรางวัลที่ได้รับเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการวางตัวอย่างมืออาชีพและการเป็นยอดนักสู้ที่ควรเป็นแบบอย่าง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014 เมื่อเขามีแผลแตกบริเวณใต้ตาขวาจนเลือดโชก แต่ก็ยังแข็งใจอยู่ในสนามช่วยทีมจนครบ 120 นาที และคว้าแชมป์ไปครองได้ในที่สุด

การแขวนสตั๊ดอาจไม่ใช่จุดสิ้นสุดเส้นทางอาชีพในวงการลูกหนังของลูกผู้ชายชื่อบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เพราะด้วยประสบการณ์ในสนามที่โชกโชน รวมไปถึงบุคลิกที่น่านับถือ เราอาจจะเห็นเขาเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นนักวิจารณ์ สต๊าฟโค้ช หรือไม่ก็ผู้อำนวยการด้านกีฬาในอนาคตอันใกล้นี้