“แทมมี่ อับราฮัม” ศูนย์หน้าผู้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส

การที่เชลซีสูญเสียดาวซัลโวประจำทีมอย่างเอเดน อาซาร์ไปให้กับเรอัล มาดริด แถมสโมสรยังถูกตัดสินให้มีความผิดจากการซื้อขายนักเตะอายุต่ำกว่าเกณฑ์ที่ฟีฟ่ากำหนด ทำให้ถูกแบนจากตลาดนักเตะถึง 2 รอบ คือช่วงซัมเมอร์ปี 2019 และตลาดหน้าหนาวต้นปี 2020 แม้จะได้ค่าตัวจากการขายเพลย์เมคเกอร์ทีมชาติเบลเยี่ยมในเบื้องต้นถึง 100 ล้านยูโร แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนเป็นนักเตะคุณภาพใกล้เคียงมาทดแทนกันได้ ทำให้แฟนบอลสิงโตน้ำเงินครามพากันเป็นกังวลว่าใครจะเป็นผู้ทำประตูให้กับทีม ในเมื่อ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาก็เป็นอาซาร์ที่แบกทีมไว้แทบทุกนัด แต่เมื่อเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ไปได้ไม่นานสถานการณ์ก็คลี่คลายลงเมื่อ “แทมมี่ อับราฮัม” ศูนย์หน้าจากทีมเยาวชนก้าวขึ้นมาเป็นดาวซัลโวของทีมอย่างรวดเร็ว ด้วยผลงาน 9 ประตู จากการลงสนาม 11 นัดทุกรายการ แถมยังครองตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกร่วมกับเซร์คิโอ อเกวโร่อยู่ในขณะนี้

แทมมี่ อับราฮัม เข้ารับการฝึกฝนในอคาเดมีของเชลซีตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และกลายมาเป็นศูนย์หน้าคนสำคัญให้กับทีมเยาวชนของเชลซี ในระหว่างฤดูกาล 2014-15 และ 2015-16 เขายิงไปถึง 74 ประตู จาก 98 เกม จนถูกกุส ฮิดดิ้ง ผู้จัดการทีมในขณะนั้นเรียกตัวมาร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่ และถูกส่งลงสนามพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในเกมที่เชลซีเสมอลิเวอร์พูล 1-1 แต่เพื่อโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่องสโมสรจึงเลือกปล่อยยืมตัวไปเล่นให้กับบริสตัน ซิตี้, สวอนซี ซิตี้ และแอสตัน วิลล่า โดยตลอดการเล่นด้วยสัญญายืมตัวทั้ง 3 ฤดูกาล ศูนย์หน้าชาวอังกฤษยิงไปได้ถึง 60 ประตู ก่อนจะกลับสู่ทีมชุดใหญ่ของเชลซีอย่างเป็นทางการในปีนี้ โดยการนำทีมของแฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้จัดการทีมคนปัจจุบันและนักเตะตำนานของสโมสร

อับราฮัมถูกส่งลงสนามในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้จะถูกวิจารณ์ถึงการใช้โอกาสเปลืองในการจบสกอร์ แต่แลมพาร์ดก็ยังเลือกใช้บริการศูนย์หน้าวัย 22 ปีก่อนกองหน้ารุ่นพี่คนอื่นทั้งวิลเลี่ยน และโอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ จนกระทั้งมายิงประตูแรกของตัวเองกับเชลซีได้สำเร็จในเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 3 กับนอริช ซิตี้ ซึ่งเกมนั้นเขาทำคนเดียว 2 ประตูช่วยให้สิงโตน้ำเงินครามบุกไปคว้า 3 แต้มนอกบ้าน ก่อนจะยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตูในเกมถัดมากับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ตามมาด้วยการซัดแฮตทริกใส่วูล์ฟแฮมตัน วันเดอเรอส์ รวมแล้วยิงติดต่อกัน 3 นัด 7 ประตู ขึ้นไปนำเป็นดาวซัลโวร่วมกับศูนย์หน้าทีมชาติอาร์เจนติน่า จนถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือก

ต้องชื่นชมแลมพาร์ดที่แม้จะเจอความกดดันมากมายก็ยังกล้าส่งศูนย์หน้าดาวรุ่งลงเล่นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถระเบิดฟอร์มเก่งเหมือนเมื่อครั้งลงเล่นในฐานะนักเตะยืมตัวได้สำเร็จ จากสถิติการทำประตูของอับราฮัมในหลายปีหลัง ไม่แน่ปีนี้แฟนบอลอาจได้เห็นเขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีกก็เป็นได้